Sunday 6 May 2018

From Bangkok to Leh, Ladakh


Travel date: 25 December 2017 - 6 January 2018
Location: Leh City in Ladakh, Jammu & Kashmir, India


นักเที่ยวผจญภัยคงเคยได้ยินชื่อเมือง เลห์ ในแคว้นลาดักส์  เมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศอินเดีย ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,500 เมตร ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาหิมาลัยฝั่งตะวันตก ชายแดนด้านขวาและบนติดกับทิเบต ชายแดนด้านซ้ายติดกับประเทศปากีสถาน เลห์ถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ตั้งอยู่สูงที่สุดบนโลกใบนี้ ยอดเขาอินทนนท์บ้านเราสูงเพียงแค่ 2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลเท่านั้น เทียบความสูงแล้วแพ้โดยสิ้นเชิง ทางผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปเมื่อช่วงปีใหม่ค.ศ. 2018 เวลาถึง 12 วัน เป็นครั้งแรก หลายคนคงคิดว่าต้องเดินทางลำบากแน่เลย อันที่จริงแล้วการวางแผนเดินทางนั้นก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ตัวเมืองเลห์เองถึงแม้ว่าจะฟังดูห่างไกล แต่ความเจริญและการพัฒนาก็ไม่ด้อยไม่กว่าเมืองอื่นๆเช่นประเทศเพื่อนบ้านของเรา ความสะดวกสบายในด้านของอาหารและการเดินทางก็ขึ้นอยู่กับฤดูที่คุณตัดสินใจไป ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิติดลบทั้งกลางวันและกลางคืน จินตนาการดูละกันว่านักท่องเที่ยวต้องทรหดขนาดไหนถึงจะสู้ความโหดร้ายของอากาศติดลบได้ ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของเมืองนี้ อุณหภูมิกำลังเย็นสบาย 25 องศาเซลเซียส มีนักท่องเที่ยวจากทั้วทุกมุมโลกมาขี่มอเตอร์ไซค์ลุยชมวิวและภูมิประเทศที่ให้ความแตกต่างจากที่อื่นๆอย่างสิ้นเชิง

เพราะความสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เลห์มีภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย บวกกับความหนาวเย็น เพราะไม่มีต้นไม้ จึงไม่มีพื้นที่ป่าช่วยเก็บน้ำในพื้นดินเหมือนบ้านเรา ฝุ่นทรายเป็นสิ่งที่เห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป คนพื้นที่ต้องพึ่งพาอาศัยน้ำที่ไหลมาจากภูเขาหิมาลัยไว้ดื่มและใช้ ผลไม้ที่เป็นชื่อเสียงของเมืองนี้คือลูกพลัมหรือ Apricot ซึ่งคุณสามารถเห็นได้ตามข้างทาง ส่วนอาหารหลักก็จะมีให้เลือกทั้งแบบมังสวิรัตหรือเนื้อแพะ (สำหรับคนไทยคงยังไม่ชินกับเนื้อสัตว์ประเภทนี้)
คนพื้นเมืองเลห์จะมีความแตกต่างกับอินเดียทางตอนล่าง หน้าตาจะมีดูเหมือนผสมระหว่างเอเชียผิวเหลืองกับแขก บางคนดูเหมือนคนญี่ปุ่น บางคนก็หน้าตาเหมือนคนไทย อีกอย่างที่ทำให้วัฒนธรรมและการเป็นอยู่ของคนเมืองนี้ไม่เหมือนอินเดียทางตอนล่าง อาจจะเป็นเพราะศาสนาที่เขานับถือ ประมาณ 60% นับถือศาสนาพุทธทิเบต 40% นับถือศาสนาอิสลาม นักท่องเที่ยวจะเห็น Monastery อยู่ทั่วไป 1 ใน Monastery ที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในลาดักส์ก็คือ Hemis Monastery สถานที่ที่นักเขียนชาวรัสเซียได้อ้างว่าพระเยซูเคยใช้เวลาแรมปีอยู่ที่นี่ (ตรงนี้ก็ต้องใช้วิจารณญาณว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี) เอาเป็นว่า ถ้าคุณได้มีโอกาสมาสถานที่แห่งนี้ คุณจะได้ยินเรื่องราวแปลกๆมากมาย เรื่องราวที่น่าสนใจเหมือนกับดูสารคดีผ่านตาของตัวเองเลย ยกตัวอย่างเช่น แคว้นลาดักส์เป็นที่ๆคนเคยพบเจอ UFO หรือเรื่องราวที่ว่าในช่วงที่ Alexander the Great เคยเดินทางมาแถบนั้น เขาได้มีลูกหลานสืบเชื้อสายต่อกันมา สารคดีบางเรื่องได้กล่าวถึงสายเลือด อารยัน ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีตำนานว่าเป็นเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์
ในอดีตแคว้นลาดักส์เคยมีกษัตริย์เป็นของตัวเอง แต่เมื่อมีการคุกคามจากผู้มีอำนาจจากที่อื่น ทำให้กษัตริย์และราชวงศ์ของเลห์ได้หายสาบสูญไป ปัจจุบันประเทศอินเดียถือสิทธิ์ปกครองแคว้นลาดักส์ แต่ก็ยังมีความขัดแย้งระหว่างประเทศรอบข้างให้เห็นอยู่บ้าง
ทริปเวลา 12 วันในเมืองเลห์และแคว้นลาดักส์ของผู้เขียนนั้น ทำให้เห็นสิ่งที่แปลกใหม่และทำให้เซอร์ไพรส์ไม่ใช่เล่น การที่จะนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเลห์ได้นั้น ต้องต่อเครื่องมีเมืองนิวเดลีก่อน แล้วจึงค่อยบินอีกประมาณชั่วโมงครึ่งจึงถึงเลห์ แต่การันตีความสวยงามของเวลา 1 ชั่งโมงครึ่งนี้จริงๆ คุณจะได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยที่มองไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็ไม่เห็นหมดสักที หน้าหนาวภูเขาจะปกคลุมไปด้วยหิมะ เป็นรูปภาพที่เป็นการสะท้อนของดินแดนที่สูงที่สุดบนโลกของจริง

ประสบการณ์หลังจากลงเครื่องก็ไม่แย่อย่างที่คิด ข้อมูลทางอินเตอร์เน๊ตได้เตือนนักท่องเที่ยวเรื่อง altitude sickness หรืออาการป่วยจากความสูง ซึ่งท้ายสุดแล้วนักเขียนกับผู้ร่วมเดินทางก็ได้ประสบพบเจอกับอาการต่างๆเหล่านั้น วันแรกหลังจากลงเครื่องก็ไม่มีอาการใดๆ แต่พอคืนแรกก็เกิดขึ้นทันที อาการปวดหัว หายใจไม่ออก ศรีษะหนักเหมือนมีหินถ่วงไว้อยู่ เพราะฉะนั้นใครที่ไป ก็แนะนำให้เพิ่มเวลาเดินทางขึ้น 2-3 วันเพื่อไว้พักผ่อนนอนเฉยๆช่วงแรกก่อนทำกิจกรรมทัวร์ต่างๆ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ทานยากันไว้ก่อนเดินทาง สนามบินที่เลห์ถือว่าเล็กมากเทียบกับเมืองอื่นๆที่ผู้เขียนเคยไปมา สายสะพานสำหรับกระเป๋ามีเพียงแค่ 2 สาย หลังจากลงเครื่องคุณจะได้เห็นวิวภูเขาที่อลังการ ทำให้รู้สึกว่าเราตัวเล็กกระจี๊ดริดเลยทีเดียว ต้อนรับด้วยเหล่าทหารตระเวนชายแดนที่มาช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าสนามบินเลห์จะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้า-ออก แต่ที่จริงแล้วสนามบินนี้ถูกควบคุมโดยการทหารอินเดีย นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องลงชื่อใส่ข้อมูลในใบที่ทางตม.เตรียมไว้ให้ หลังจากนั้นก็ขึ้นแท็กซี่ไปโรงแรม ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ประมาณ 10 นาทีก็ถึง
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ และมีชื่อเสียงในเมืองเลห์และแคว้นลาดักส์ก็มีอยู่ไม่ถึง 10 ที่ แต่เส้นทางของแต่ละที่นั้นก็ห่างไกลกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นควรจะวางแผนทางเดินทางก่อน โดยที่คุณสามารถติดต่อทางโรงแรมให้จัดทริปให้คุณได้ สถานที่ท่องเที่ยวที่ทางผู้เขียนได้ไปก็จะมี Leh Palace, Tsemo Maitreya Temple, Tibetan Market, Main Bazaar Market ซึ่งสถานที่ทั้งหมดที่ว่าตั้งอยู่ในเมืองเลห์ไม่ห่างไกลกันมาก แต่สำหรับที่ๆห่างไกล ยกตัวอย่างเช่น Pangong Lake ก็จะใช้เวลาขับรถถึง 5 ชั่วโมง แต่วิวทะเลสาบ Panggong ก็หลักล้านจริงๆ เส้นทางขับรถไปทะเลสาบจะพาคุณผ่าน Chang Tang Nature reserve ถ้าโชคดีคุณก็จะได้เห็นแพะภูเขาท้องถิ่นที่มีชื่อเรียกว่า Ibex หนึ่งในสัตว์หาดูได้ยาก สัตว์อีกชนิดที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเทือกเขาหิมาลัยนั้นก็คือ เสือดาวภูเขา (Snow Leopard) ผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทางก็คาดหวังไว้อย่างสูงว่าจะได้เห็นเจ้าสัตว์ชนิดนี้ แต่อย่างที่ได้เกริ่นไว้ สัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาสูงนั้นหาดูได้ยากจริงๆ ผู้ร่วมพักที่โรงแรมได้เล่าให้ฟังว่าเขาได้เห็นแค่รอยเท้าของเสือดาวภูเขา นั่นก็ถือว่าโชดดีมากแล้ว













ในมุมมองของผู้เขียนนั้น เมืองเลห์ถือว่าเป็นสถานที่ๆมีเสห่น์อย่างแท้จริง อาจจะเป็นเพราะความแตกต่างของอากาศที่ทางเราได้สัมผัส ความอัธยาศัยดีของผู้คนท้องถิ่น และวิวหลักล้านที่มีให้เห็นทั้ง ทะเลทราย ทะเลสาบ ภูเขาหิมะ ถ้าคุณไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงจะหาคำมาอธิบายความรู้สึกได้ยาก เพราะความยิ่งใหญ่ของดินแดนแห่งนี้ ทำให้เราตระหนักว่า มนุษย์เรานั้นเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เมื่อเทียบกับความอลังการยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้
สำหรับใครที่มีความสนใจอยากจะลองเดินทางไปดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต ผู้เขียนก็อยากจะแนะนำให้เตรียมตัวและเตรียมใจกับความลำบากที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็การันตีความประทับใจที่คุณจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน