Monday 24 December 2018

Da Lat: City of Eternal Spring

Travel date: 16 December 2018 - 22 December 2018
Location: Đà Lạt (Nicknames: City of a Thousand Flowers, City of a Thousand Palms, City in the Fog, Little Paris) ,Vietnam



ก่อนที่ผู้เขียนจะเล่าเรื่องทริปเมืองดาลัด ประเทศเวียดนามครั้งนี้ คงต้องเอ่ยถึงเหตุผลหลักว่าทำไมถึงตัดสินใจเดินทางมาเมืองนี้ เหตุผลนั้นก็คือเมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคมปีค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ (เมืองที่ผู้เขียนอยู่นั้น) ได้มีอากาศที่ร้อนอบอ้าวถึงที่สุด ร้อนขนาดที่ทำให้รู้สึกว่าหน้าหนาวในกรุงเทพฯคงไม่มีให้รู้สึกอีกแล้ว สาเหตุว่าทำไมถึงอากาศร้อนก็คงจะไม่พ้น Climate changes รวมถึงความร้อนจากตึกใหญ่ ห้างสรรพสินค้า และบ้านเรือนที่อยู่อาศัย รถยนต์ รถประจำทางที่ปั้มความร้อนออกมาให้กับอากาศข้างนอก และตัวเมืองเองก็ไม่มีพื้นที่สีเขียวที่จะช่วยดูดซับมลพิษและความร้อนที่เพียงพอ ถึงแม้ว่ากรุงเทพฯจะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรก็ตาม แต่ถ้าใครเคยได้คุยกับผู้ใหญ่เช่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายเรา เขาจะเล่าว่าสมัยก่อนกรุงเทพฯไม่ร้อนขนาดนี้ ถ้ายิ่งเป็นช่วงหน้าหนาว บางทีก็จะมีลมเย็นๆพัดให้รู้สึกบ้าง แต่หลายๆปีที่ผ่านมา ลมหนาวนั้นก็ค่อยๆเริ่มหายไป เอาเป็นว่าผู้เขียนคงต้องหยุดบ่นแล้วหล่ะ ไม่งั้นบทความนี้คงไม่จบแน่นอน :)

เมืองดาลัดเป็นเมืองที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่าฮานอย หรือโฮจิมินท์ แต่ถ้าให้เปรียบเทียบอากาศและความสวยงามแล้ว ดาลัดไม่แพ้เมืองอื่นๆเลยทีเดียว ถ้าใครพอรู้จักประวัติความเป็นมาของเวียดนาม ก็จะรู้ว่า ช่วงล่าอาณานิคม เวียดนามเคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศส จากที่ผู้เขียนได้ศึกษามา เมืองนี้เกิดขึ้นได้เพราะตอนที่ฝรั่งเศสดูแลเวียดนามอยู่ เขาได้มองหาสถานที่ทำรีสอร์ทและพื้นที่ๆหลบหลีกความร้อนอบอ้าว และจึงได้มาเจอเมืองแห่งนี้ ดาลัดตั้งอยู่บนภูเขาสูงจึงทำให้อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เหมาะกับการปลูกผักและดอกไม้เมืองหนาว ช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้ไปนั้นเป็นช่วงที่ดอกไฮเดรนเจียกำลังบานสะพรั่งทั่วทุกมุมเมือง จะมองไปทางไหนที่มีสวนก็จะเห็นดอกไฮเดรนเจียหลากสีสันสวยงามรอให้คุณได้ไปถ่ายรูปด้วย นอกเหนือจากไฮเดรนเจียแล้วก็ยังจะมีดอกกุหลาบ ดอก Lily of the nile ดอกลาเวนเดอร์ และอีกหลายๆดอกที่ทางผู้เขียนไม่ทราบชื่อ :) นอกเหนือจากดอกไม้แล้ว อาหารที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ก็คือ หอยโข่งนึ่ง แหนมเนือง โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้ ชา Artichoke ชาเขียว เป็นต้น ใครที่เป็นสายชอบถ่ายรูปกับดอกไม้ ชอบทานอาหาร และแวะร้านกาแฟ เมืองนี้เพอร์เฟ็คกับคุณแน่นอน

หลายคนคงมีคำถามเรื่องการเดินทาง ผู้เขียนเดินทางด้วยสายการบิน Vietjet บินตรงจากสุวรรณภูมิ ในรคาไปกลับเพียงแค่ 3,600 บาท (ไม่รวมกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง) ส่วนเรื่องที่พักเราก็ได้ตัดสินใจนอนโฮสเตล ตกแล้ว 1,000 กว่าบาทต่อคน ทั้งหมด 5 คืน โฮสเทลที่ขอแนะนำเพราะความสะอาด วิวหลักล้าน และมิตรภาพที่ได้กับพนักงานแสนน่ารัก โฮสเทลที่ว่าชื่อ Tigon Dalat Hostel อาจจะห่างจากตัวเมือง Center สักหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลไป เวียดนามเขามี Grab และ Grab Bike, Grab Taxi มีหมด แถมยังราคาถูกกว่าบ้านเราอีก เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ผู้เขียนเองตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซค์ขับจากที่โฮสเทล ตกวันละประมาณ 170 บาท ถูกเข้าไปอีก! เอาเป็นว่ารวมๆแล้ว ทริปนี้ไปกับ 2 คนเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดแค่คนละประมาณ 12,000 บาท กินดี อยู่ดี ได้ช้อปอีกด้วย 

มาถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวกันบ้าง ผู้เขียนทำเป็น Bullet Points ให้เลยละกันนะ
- Prenn Waterfall
https://goo.gl/maps/Z2nGPx2QgiT2
อยู่ทางใต้ของดาลัด สำหรับใครที่อยากลองขี่นกกระจอกเทศ ขี่ช้างหรือขี่ม้า ที่นี่มีให้ลองหมด ค่าเข้าก็ประมาณ 60-70 บาทต่อคน สำหรับตัวน้ำตกเอง ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่แย่นะ
- Truc Lam Pagoda
https://goo.gl/maps/MQDMsqudpF92
อยู่ทางใต้เหมือนกัน สำหรับที่นี่ ผู้เขียนไม่ได้ไป เพราะคนเยอะมาก เลยนั่ง Cable Car ชมวิวเฉยๆแบบไปกลับ ราคาประมาณ 120 บาทเอง แนะนำว่าต้องนั่งเพราะจะได้เห็นวิวดาลัด ภูเขาและป่าสนที่สวยงาม
- Lavenderdalat Gardens
https://goo.gl/maps/vEn8TzPMZUD2
สายดอกลาเวนเดอร์ต้องไม่พลาดที่นี่นะ ไม่ใหญ่มาก แต่วิวอลังการมาก พอได้เดินเข้าไป จะได้กลิ่นลาเวนเดอร์ฟุ้งเลย มีร้านกาแฟให้นั่งพักชิวอีกด้วย *ระหว่างทางไปจะมีเขื่อนเก็บน้ำ Tuyen Lam วิวพระอาทิตย์ตกสวยงามมาก สะพานที่เด็ก locals เขาชอบไปนั่งเล่นถ่ายรูปกัน 
- Tung Ha Lavender Farm
https://goo.gl/maps/JwfVdvSaYEA2
ใครที่ชอบฟาร์มออกานิค คนไม่พลุกพล่าน ต้องมาที่นี่ แปลงปลูกดอกไม้และผักสวนครัวขนาดเล็ก แต่เปี่ยมล้นไปด้วยมิตรภาพของเจ้าของ ผู้เขียนแวะไปถึงสองครั้งเพราะว่าชอบบรรยากาศ สามารถซื้อ essential oils ที่เขาผลิตเองได้อีกด้วย มี Lavender, Peppermint, Rosemary ทุกอย่างปราศจากสารพิษหมด
- Cuong Hoan Silk
https://goo.gl/maps/qvLB9Y7Hyg42
ที่นี่จะเดินทางไกลหน่อย อากาศจะค่อนข้างร้อนเพราะอยู่ด้านล่างภูเขา แต่ถ้าใครสนใจวิธีการทำผ้าไหม โรงงานขนาดเล็กๆนี้จะช่วยให้เรามีความรู้มากขึ้น ถ้าใครพาแม่ๆไป แม่คงต้องชอบ
- Datanla Waterfall
https://goo.gl/maps/d8TxL2K9Wwx
สำหรับที่นี่ ผู้เขียนไม่ได้เข้าไป เพราะคนเยอะมาก ใครที่แวะไปก็สามารถไปเล่นรถรางได้ด้วย ลอง search หาข้อมูลกันดู

นอกเหนือจากที่เที่ยวแล้ว มาที่ร้านอาหาร ร้านกาแฟกันบ้าง
- Quan Oc 33
https://goo.gl/maps/txYSd3Pa17H2
ที่แรกเลยที่ผู้เขียนลงเครื่องแล้วตรงดิ่งเข้าไปกิน สายหอยต้องไป! หอยโข่งนึ่งกับหมูสับที่นี่อร่อยมาก เขามี 2 สาขา แต่ทางเราเลือกสาขาคนน้อย อีกสาขาอยู่ถนนเส้นเดียวกัน เดาว่ารสชาติไม่น่าจะแตกต่างกันมาก
- Hu Tieu Trang
https://goo.gl/maps/9eKtoEecXNp
ร้านนี้แนะนำโดย Tigon Hostel Staff ที่ชื่อแฮนนา เธอบอกว่าร้านไหนคนเยอะ เข้าไปได้เลย ขายก๋วยเตี๋ยวสไตล์เฝ๋อ เส้นเล็ก เส้นหมี่ ใส่หมูยอบ้าง ใส่กระดูกหมูบ้าง ผู้เขียนทานทุกเช้า ราคาไม่ถึง 40 บาทต่อชาม สงสัยเพราะอยู่ใกล้กับโรงเรียน ราคาเลยไม่แพงมาก ไม่มี Tourist อื่นๆเลย
- Cha Ram Bap Tan Long
https://goo.gl/maps/Ene4FCBtWnT2
ร้านแหนมเนืองแบบ Local ขั้นสุด อร่อยสุดในเมือง ในราคาย่อมเยา เปิดบริการตั้งแต่บ่าย 2 เป็นต้นไป แนะนำโดย Hostel Staff การันตีความอร่อยโดยผู้เขียน
- Emai Dalat Restaurant / Cafe and Homestay
https://goo.gl/maps/aaN4SBjxsks
ร้านนี้เหมาะกับดินเนอร์ ใครหลายคนคงงงว่าแนะนำทำไม ร้านอาหารอิตาเลี่ยน แต่จากประสบการณ์แล้ว อิตาเลี่ยนร้านนี้สู้กับรสชาติที่อิตาลีได้แน่นอน เส้น Fettuccine และ Gnocchi ที่ทำเอง การประดับตกแต่งร้านที่พิถีพิถัน ราคาอาจจะแพงหน่อย แต่รับรองคุณภาพ ถามหาคนชื่อ Kim ได้เลย ลูกชายเจ้าของร้านที่จะช่วยแนะนำอาหารได้เป็นอย่างดี Chocolate Mousse ที่นี่ห้ามพลาด!
- Kem Bo Thanh Thao
https://goo.gl/maps/qp2EB1YSqK32
ถ้าได้เห็นร้านแล้วจะตกใจ เพราะคนต่อคิวเยอะมาก ร้านขนมหวานแนวไอศรีมผสมอโวคาโด้ ใครมาดาลัดต้องมาทาน เพราะรสชาติอร่อยจริงๆ ผู้เขียนทานทุกวัน ล้อมรอบไปด้วยเด็กเวียดนามอีก 4,500 คนที่มาจากเมืองอื่นเพื่อมาต่อคิวทาน
- Still Cafe
https://goo.gl/maps/unq9RV3ymfR2
ร้านกาแฟสไตล์ญี่ปุ่น โยเกิร์ตและเค้กอร่อย เหมาะกับการถ่ายรูปยามบ่าย เตรียมกล้อง แต่งตัวให้พร้อม เพราะคนอื่นๆเขาไม่ยอมแพ้แน่นอน
- Cafe Bich Cau
https://goo.gl/maps/xheudMManey
เหนื่อยแล้วก็ต้องพัก ร้านกาแฟริมทะเลสาบให้วิว Panorama ลมพัดเย็นสบาย นั่งได้ทั้งวัน พร้อมกับสวนดอกไม้ให้ถ่ายรูปเล่น ไวไฟแรง

สำหรับใครที่ไปเที่ยวนาน ตอนกลางคืนไม่รู้จะทำอะไร แวะไปที่โรงหนัง
- Cinestar Da Lat
https://goo.gl/maps/kGoq9irGQtL2
ผู้เขียนดู 3D ราคา 120 บาท กรี๊ดเสียงดังมาก ด้านหลังโรงหนังมี Big C ให้แวะซื้อขนมกรุบกริบก่อนกลับที่พักอีกด้วย แต่รีบหน่อยนะ เพราะที่นี่ทุกอย่างปิดเร็ว 3-4 ทุ่มก็เริ่มปิดกันแล้ว

ตลาด Dalat Centre Market
ใครที่ได้มาดาลัด คงต้องไปสักครั้ง ข้าวของเช่นเสื้อแจ็คเก็ต กางเกง ถุงเท้าราคาถูก แต่ถ้าให้พูดถึงดีไซน์และแฟชั่นคงไม่สวยสักเท่าไหร่ มีชา และของแห้งให้ซื้อเป็นของฝากกลับบ้าน


Tips อื่นๆ (ซิมการ์ด + แลกเงิน)
แลกเงินเวียดนามดอง และ US dollars ไป
ให้ใช้เวียดนามดองก่อน เมื่อหมดแล้วจึงนำ US dollars ไปแลกที่แบงค์ตาม URL maps นี้ได้เลย เรตดีและปลอดภัย
https://goo.gl/maps/KfvXTDKBrwD2

ส่วนเรื่องซิมการ์ด จ่ายแค่ 120,000 ดอง หรือประมาณ 140 บาทใช้ได้ 1 เดือน กี่ GB ไม่รู้ แต่ 1 อาทิตย์ อัพรูป โหลดรูป ดูวิดีโอไม่หมด! คนขายบอก 100GB แต่ยังแอบไม่ค่อยเชื่อ
ซื้อได้ที่ช้อปใกล้ตลาด อันนี้ไม่รู้จุดที่แน่นอน แต่อยู่หัวมุมแถวๆนี้ แต่ถ้าเจอร้านอื่นในราคาเท่ากันก็ซื้อได้เลย ของเครือข่าย MobiPhone
https://goo.gl/maps/7vkznkD9Fs92

ส่วน Taxi ไปกลับสนามบินก็ให้เรียก Grab เอาน่าจะประมาณ 500-600 บาท แพงหน่อยแต่สบายสุด

เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลที่ผู้เขียนเตรียมไว้ให้ หวังว่าจะช่วยให้การเดินทางของผู้อ่านง่ายขึ้น ถ้ามีคำถามอะไรยังไงก็ให้ส่ง Inbox หรือ Comment ได้เลยนะครับ

สำหรับใครที่อยากดูรูปท่องเที่ยวเพิ่มเติม
Instagram: (ถามมาได้เลย ล่าสุดลงรูปมีน้องแมสเสจมาถามข้อมูล 2 คน พร้อมช่วย Wanderlust ด้วยกันครับ)
ipondonline


ปิดท้ายด้วยรูปสถานที่ท่องเที่ยวและบรรยากาศต่างๆของเมืองดาลัดกันนะครับ
หอยโข่งนึ่งหมูสับใส่ตะไคร้ร้าน - Quan Oc 33



กิจกรรมขี่นกกระจอกเทศสุดฮาที่ Prenn Waterfall


Cable car แบบระยะสั้นที่ Prenn Waterfall จากบนสู่ล่าง (สำหรับคนขี้เกียจเดิน)


ทุ่งลาเวนเดอร์ - Lavenderdalat Gardens



วิวขณะอยู่บน Cable Car จากจุดเริ่ม Truc Lam Pagoda


วิวหลักล้าน ราคาหลักร้อยบาท


Sunset ที่ Lake Tuyet Lam ทางกลับ-ไป Lavenderdalat Gardens


ไอศครีมผสมอโวคาโด้ที่ร้านยอดนิยม - Kem Bo Thanh Thao



สวน Hydrangea ที่มีให้เห็นทั่วเมือง


ก๋วยเตี๋ยว (เดาว่าคือเฝ๋อ อาหารเช้าของผู้เขียน) ที่ - Hu Tieu Trang



Tung Ha Farm ฟาร์มลาเวนเดอร์แนวออกานิคขนาดเล็ก


ชายามบ่ายที่ Still Cafe ร้านกาแฟโชว์ Skill โพสของนางแบบและนายแบบต่างๆ


ดอก Marigolds ที่ฟาร์ม Tung Ha 


The Workshop area at Tung Ha Farm


Homemade Green tea at Tung Ha farm



A Lake at Golden Vally (สถานที่ๆไม่ได้ mention ในบทความ)


ทางกลับจาก Golden Valley


Pasta ที่ถูกฟาดเกือบเรียบ (รอถ่ายรูปไม่ไหว จ้วงก่อน) ที่ - Emai Dalat Restaurant / Cafe and Homestay



Sunday 6 May 2018

From Bangkok to Leh, Ladakh


Travel date: 25 December 2017 - 6 January 2018
Location: Leh City in Ladakh, Jammu & Kashmir, India


นักเที่ยวผจญภัยคงเคยได้ยินชื่อเมือง เลห์ ในแคว้นลาดักส์  เมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศอินเดีย ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,500 เมตร ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาหิมาลัยฝั่งตะวันตก ชายแดนด้านขวาและบนติดกับทิเบต ชายแดนด้านซ้ายติดกับประเทศปากีสถาน เลห์ถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ตั้งอยู่สูงที่สุดบนโลกใบนี้ ยอดเขาอินทนนท์บ้านเราสูงเพียงแค่ 2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลเท่านั้น เทียบความสูงแล้วแพ้โดยสิ้นเชิง ทางผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปเมื่อช่วงปีใหม่ค.ศ. 2018 เวลาถึง 12 วัน เป็นครั้งแรก หลายคนคงคิดว่าต้องเดินทางลำบากแน่เลย อันที่จริงแล้วการวางแผนเดินทางนั้นก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ตัวเมืองเลห์เองถึงแม้ว่าจะฟังดูห่างไกล แต่ความเจริญและการพัฒนาก็ไม่ด้อยไม่กว่าเมืองอื่นๆเช่นประเทศเพื่อนบ้านของเรา ความสะดวกสบายในด้านของอาหารและการเดินทางก็ขึ้นอยู่กับฤดูที่คุณตัดสินใจไป ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิติดลบทั้งกลางวันและกลางคืน จินตนาการดูละกันว่านักท่องเที่ยวต้องทรหดขนาดไหนถึงจะสู้ความโหดร้ายของอากาศติดลบได้ ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของเมืองนี้ อุณหภูมิกำลังเย็นสบาย 25 องศาเซลเซียส มีนักท่องเที่ยวจากทั้วทุกมุมโลกมาขี่มอเตอร์ไซค์ลุยชมวิวและภูมิประเทศที่ให้ความแตกต่างจากที่อื่นๆอย่างสิ้นเชิง

เพราะความสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เลห์มีภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย บวกกับความหนาวเย็น เพราะไม่มีต้นไม้ จึงไม่มีพื้นที่ป่าช่วยเก็บน้ำในพื้นดินเหมือนบ้านเรา ฝุ่นทรายเป็นสิ่งที่เห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป คนพื้นที่ต้องพึ่งพาอาศัยน้ำที่ไหลมาจากภูเขาหิมาลัยไว้ดื่มและใช้ ผลไม้ที่เป็นชื่อเสียงของเมืองนี้คือลูกพลัมหรือ Apricot ซึ่งคุณสามารถเห็นได้ตามข้างทาง ส่วนอาหารหลักก็จะมีให้เลือกทั้งแบบมังสวิรัตหรือเนื้อแพะ (สำหรับคนไทยคงยังไม่ชินกับเนื้อสัตว์ประเภทนี้)
คนพื้นเมืองเลห์จะมีความแตกต่างกับอินเดียทางตอนล่าง หน้าตาจะมีดูเหมือนผสมระหว่างเอเชียผิวเหลืองกับแขก บางคนดูเหมือนคนญี่ปุ่น บางคนก็หน้าตาเหมือนคนไทย อีกอย่างที่ทำให้วัฒนธรรมและการเป็นอยู่ของคนเมืองนี้ไม่เหมือนอินเดียทางตอนล่าง อาจจะเป็นเพราะศาสนาที่เขานับถือ ประมาณ 60% นับถือศาสนาพุทธทิเบต 40% นับถือศาสนาอิสลาม นักท่องเที่ยวจะเห็น Monastery อยู่ทั่วไป 1 ใน Monastery ที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในลาดักส์ก็คือ Hemis Monastery สถานที่ที่นักเขียนชาวรัสเซียได้อ้างว่าพระเยซูเคยใช้เวลาแรมปีอยู่ที่นี่ (ตรงนี้ก็ต้องใช้วิจารณญาณว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี) เอาเป็นว่า ถ้าคุณได้มีโอกาสมาสถานที่แห่งนี้ คุณจะได้ยินเรื่องราวแปลกๆมากมาย เรื่องราวที่น่าสนใจเหมือนกับดูสารคดีผ่านตาของตัวเองเลย ยกตัวอย่างเช่น แคว้นลาดักส์เป็นที่ๆคนเคยพบเจอ UFO หรือเรื่องราวที่ว่าในช่วงที่ Alexander the Great เคยเดินทางมาแถบนั้น เขาได้มีลูกหลานสืบเชื้อสายต่อกันมา สารคดีบางเรื่องได้กล่าวถึงสายเลือด อารยัน ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีตำนานว่าเป็นเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์
ในอดีตแคว้นลาดักส์เคยมีกษัตริย์เป็นของตัวเอง แต่เมื่อมีการคุกคามจากผู้มีอำนาจจากที่อื่น ทำให้กษัตริย์และราชวงศ์ของเลห์ได้หายสาบสูญไป ปัจจุบันประเทศอินเดียถือสิทธิ์ปกครองแคว้นลาดักส์ แต่ก็ยังมีความขัดแย้งระหว่างประเทศรอบข้างให้เห็นอยู่บ้าง
ทริปเวลา 12 วันในเมืองเลห์และแคว้นลาดักส์ของผู้เขียนนั้น ทำให้เห็นสิ่งที่แปลกใหม่และทำให้เซอร์ไพรส์ไม่ใช่เล่น การที่จะนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเลห์ได้นั้น ต้องต่อเครื่องมีเมืองนิวเดลีก่อน แล้วจึงค่อยบินอีกประมาณชั่วโมงครึ่งจึงถึงเลห์ แต่การันตีความสวยงามของเวลา 1 ชั่งโมงครึ่งนี้จริงๆ คุณจะได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยที่มองไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็ไม่เห็นหมดสักที หน้าหนาวภูเขาจะปกคลุมไปด้วยหิมะ เป็นรูปภาพที่เป็นการสะท้อนของดินแดนที่สูงที่สุดบนโลกของจริง

ประสบการณ์หลังจากลงเครื่องก็ไม่แย่อย่างที่คิด ข้อมูลทางอินเตอร์เน๊ตได้เตือนนักท่องเที่ยวเรื่อง altitude sickness หรืออาการป่วยจากความสูง ซึ่งท้ายสุดแล้วนักเขียนกับผู้ร่วมเดินทางก็ได้ประสบพบเจอกับอาการต่างๆเหล่านั้น วันแรกหลังจากลงเครื่องก็ไม่มีอาการใดๆ แต่พอคืนแรกก็เกิดขึ้นทันที อาการปวดหัว หายใจไม่ออก ศรีษะหนักเหมือนมีหินถ่วงไว้อยู่ เพราะฉะนั้นใครที่ไป ก็แนะนำให้เพิ่มเวลาเดินทางขึ้น 2-3 วันเพื่อไว้พักผ่อนนอนเฉยๆช่วงแรกก่อนทำกิจกรรมทัวร์ต่างๆ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ทานยากันไว้ก่อนเดินทาง สนามบินที่เลห์ถือว่าเล็กมากเทียบกับเมืองอื่นๆที่ผู้เขียนเคยไปมา สายสะพานสำหรับกระเป๋ามีเพียงแค่ 2 สาย หลังจากลงเครื่องคุณจะได้เห็นวิวภูเขาที่อลังการ ทำให้รู้สึกว่าเราตัวเล็กกระจี๊ดริดเลยทีเดียว ต้อนรับด้วยเหล่าทหารตระเวนชายแดนที่มาช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าสนามบินเลห์จะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้า-ออก แต่ที่จริงแล้วสนามบินนี้ถูกควบคุมโดยการทหารอินเดีย นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องลงชื่อใส่ข้อมูลในใบที่ทางตม.เตรียมไว้ให้ หลังจากนั้นก็ขึ้นแท็กซี่ไปโรงแรม ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ประมาณ 10 นาทีก็ถึง
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ และมีชื่อเสียงในเมืองเลห์และแคว้นลาดักส์ก็มีอยู่ไม่ถึง 10 ที่ แต่เส้นทางของแต่ละที่นั้นก็ห่างไกลกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นควรจะวางแผนทางเดินทางก่อน โดยที่คุณสามารถติดต่อทางโรงแรมให้จัดทริปให้คุณได้ สถานที่ท่องเที่ยวที่ทางผู้เขียนได้ไปก็จะมี Leh Palace, Tsemo Maitreya Temple, Tibetan Market, Main Bazaar Market ซึ่งสถานที่ทั้งหมดที่ว่าตั้งอยู่ในเมืองเลห์ไม่ห่างไกลกันมาก แต่สำหรับที่ๆห่างไกล ยกตัวอย่างเช่น Pangong Lake ก็จะใช้เวลาขับรถถึง 5 ชั่วโมง แต่วิวทะเลสาบ Panggong ก็หลักล้านจริงๆ เส้นทางขับรถไปทะเลสาบจะพาคุณผ่าน Chang Tang Nature reserve ถ้าโชคดีคุณก็จะได้เห็นแพะภูเขาท้องถิ่นที่มีชื่อเรียกว่า Ibex หนึ่งในสัตว์หาดูได้ยาก สัตว์อีกชนิดที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเทือกเขาหิมาลัยนั้นก็คือ เสือดาวภูเขา (Snow Leopard) ผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทางก็คาดหวังไว้อย่างสูงว่าจะได้เห็นเจ้าสัตว์ชนิดนี้ แต่อย่างที่ได้เกริ่นไว้ สัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาสูงนั้นหาดูได้ยากจริงๆ ผู้ร่วมพักที่โรงแรมได้เล่าให้ฟังว่าเขาได้เห็นแค่รอยเท้าของเสือดาวภูเขา นั่นก็ถือว่าโชดดีมากแล้ว













ในมุมมองของผู้เขียนนั้น เมืองเลห์ถือว่าเป็นสถานที่ๆมีเสห่น์อย่างแท้จริง อาจจะเป็นเพราะความแตกต่างของอากาศที่ทางเราได้สัมผัส ความอัธยาศัยดีของผู้คนท้องถิ่น และวิวหลักล้านที่มีให้เห็นทั้ง ทะเลทราย ทะเลสาบ ภูเขาหิมะ ถ้าคุณไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงจะหาคำมาอธิบายความรู้สึกได้ยาก เพราะความยิ่งใหญ่ของดินแดนแห่งนี้ ทำให้เราตระหนักว่า มนุษย์เรานั้นเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เมื่อเทียบกับความอลังการยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้
สำหรับใครที่มีความสนใจอยากจะลองเดินทางไปดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต ผู้เขียนก็อยากจะแนะนำให้เตรียมตัวและเตรียมใจกับความลำบากที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็การันตีความประทับใจที่คุณจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน