Wednesday 17 April 2019

Canggu & Nusa Penida: There’s so much more to Bali than Kuta or Seminyak


Travel date: 4 April 2019 – 10 April 2019
Location: Canggu & Nusa Penida Island in Bali, Indonesia

บาหลี คือ ดี!สำหรับการเดินทางไปจังหวัดบาหลี ประเทสอินโดนีเซียครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งที่ สำหรับผู้เขียน สามครั้งที่ผ่านมา เราก็ได้ผจญภัยไปที่ต่างๆที่ใครหลายคนคงรู้จักและเคยไปเช่น Kuta, Seminyak, Ubud, Lovina และ หมู่เกาะ Gili บอกได้เลยว่าประทับใจทุกครั้ง แต่ละที่มีความสวยงามที่แตกต่าง ทั้งในด้านของวัฒนธรรมและวิวราคาหลักล้าน
เคยมีเพื่อนบอกว่าประเทศอินโดนีเซียมีที่สวยๆเยอะ ตอนแรกก็ไม่เชื่อนะ แต่พอได้มีโอกาสไปบ่อยๆ ขนาดครั้งที่สี่แล้ว ยังรู้สึกเลยว่าเวลาไม่พอ และยังจะมีที่อื่นๆให้ได้ไปผจญภัยอีกเยอะ เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ครั้งนี้ทางผู้เขียนกับเพื่อนอีกสองคนได้วางแผนไปเที่ยว Canggu และ Nusa Penida เกริ่นก่อนว่า Canggu (ชังกูคืออะไร… ชังกูคือหมู่บ้านทางตอนเหนือของ Seminyak ถ้าให้เปรียบเทียบ Seminyak ก็เหมือนเขตทองหล่อบ้านเรา มีความไฮโซโบว์ใหญ่ มีทั้งไนท์คลับบีชบาร์สวยๆให้คนได้ไปถ่ายรูปเก๋ลงไอจี แต่สำหรับ Canggu เองจะมีความฮิปสเตอร์กว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวที่รู้สึกเบื่อกับความวุ่นวายและ Seminyak และ Kuta ได้หลบหนีมาชังกู ด้วยตัวพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีความสวยงาม ผสมผสานระหว่างทะเลคลื่นยักษ์ เหมาะสำหรับนักโต้คลื่นตัวยง และทุ่งข้าวสำหรับกลุ่มคนที่ชอบความเขียวขจีของธรรมชาติและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น ชังกูกลายเป็นสถานที่โปรดของใครหลายคน ผู้เขียนและกลุ่มเพื่อนตัดสินใจนอนพักที่โฮสเตล โดยเน้นสระว่ายน้ำสวย เราได้จองที่พักชื่อ Kosone (คอสวัน) ตกเตียงละ 500 บาทต่อคืน ซึ่งก็ถือว่าแพงสำหรับห้อง dorm แต่ความสะอาด ห้องน้ำ สระว่ายน้ำเก๋ และบริการของพนักงานต้องให้ 10 เต็ม 10 จริงๆ คอสวันไม่ห่างจากทะเลสักเท่าไหร่ ถ้าเดินก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ ที่เที่ยวชื่อดังที่ทุกคนต้องไปก็คือ Old Mans เป็นบาร์แนว open air นักท่องเที่ยวที่ไปเหมือนการันตีหน้าตา เพราะทุกคนสวยหล่อหมด มีทั้งหนุ่มสาวผมบลอนด์ นักโต้คลื่น กล้ามแน่น หน้าเป๊ะ และคนพื้นเมืองบ้างประปราย ทุกคนแต่งตัวแต่งแบบชุดเต็ม ใกล้ๆ Old mans เองก็มีที่เที่ยวติดทะเลซึ่งก็เดินไปมาได้ เปลี่ยน mood ตามเสียงเพลง ฝั่งนึงเป็น house อีกฝั่งเป็น hip hip / pop ถ้าน้ำไม่สูง สามารถลงไปเต้นบนหาดได้เลย แถมยังมีร้าน Pop-up Tattoo parlour สำหรับคนเมาที่อยากสักตอนนั้นก็สามารถทำได้เลย (ไม่รู้ว่าไอเดียนี้จะดีเหรอ…) ขอบอกว่าประสบการณ์โดยรวมแล้วสนุกสุดๆ ผู้เขียนกับเพื่อนเองอยู่ดึกสุดก็ตี แต่ได้ข่าวว่าเขาเปิดถึงตี ใครเป็นสายปาร์ตี้ฟินแน่
เต้นทั้งคืน ตอนเช้าอย่างแรกคงจะนึกถึงอาหารเป็นอย่างแรก ในส่วนของร้านอาหารโลคอลก็มี 2-3 ร้านใกล้ๆ ร้านประจำของเราก็คือ Varuna Warung Canggu และ Warung Bumi ให้นึกถึงร้านข้าวแกงบ้านเรา แต่ที่นี่มีทั้งข้าวสวยและข้าวกล้องให้เลือก หลังจากนั้นก็เลือกกับราด 2-3 อย่างตามใจชอบ มาอินโดนีเซียต้องลอง tempeh ก้อนเนื้อที่ผลิตจากถั่วเหลือง มีทั้งประโยชน์ในด้านของโปรตีนและ probiotics ช่วยในการขับถ่ายและเสริมภูมิต้านทาน ใครที่ไม่ใช่สายถั่ว เขามีไก่ กุ้ง และกับข้าวชนิดอื่นให้ได้ลอง เอานิ้วชี้แล้วถามเป็นภาษาอังกฤษได้เลย พนักงานตอบได้หมด สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนฟิลกินอาหารสไตล์ฝรั่งก็ต้องลองที่ Milu by Nook (วิวทุ่งนาติดร้านเลยจ้า), Canteen Café (เน้นอาหารเช้าสไตล์ออสเตรเลีย), La Bandida (อาหารสเปน ร้านนี้เหมาะกับกินตอนเย็น) นอกเหนือจากร้านเหล่านี้แล้ว ยังมีที่อื่นๆที่น่าลองน่ากินอีกเยอะ เอาเป็นว่าถ้าร้านไหนคนเยอะ การันตีความอร่อยแน่นอน พูดตรงว่าชังกูให้ความรู้สึกของฮอดิเดย์อย่างแท้จริง กิน เที่ยว เต้น เดินบนหาดดูพระอาทิตย์ตก ส่วนการเดินทางที่ชังกูก็ง่ายมาก จะเช่ามอเตอร์ไซค์จากที่พัก หรือใช้ app ชื่อ Gojek เปรียบเทียบเหมือนกับ Grab บ้านเรา มีทั้งแบบรถเก๋ง หรือมอไซค์ให้เลือก จ่ายด้วยเงินสด ทางผู้เขียนซื้อ Sim2fly ของ AIS จากประเทศไทยเพราะต้องใช้ navigate เวลาขับมอเตอร์ไซค์ เรียกรถ Gojek และติดต่องาน การมีอินเตอร์เน็ตเวลาเดินทาง ชีวิตคุณจะดีขึ้นแน่นอน ลงทุนแค่ 299 บาท ทุกอย่างจะสบาย เอาล่ะ ต่อมาคือไฮไลท์ของทริปนั่นก็คือ เกาะ Nusa Penida!!
แรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเราต้องนั่งเรือมา Nusa Penida เพราะรูปที่สวย มองจากไอจีคนนุ้นคนนี้ ดูยังไงก็สวย แต่ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะเดินทางลำบากขนาดไหน เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะบอกทิปส์การเดินทางเลยแล้วกันนะ จองตั๋วออนไลน์ผ่านเว็บไซต์เป็นวิธีที่สบายที่สุด ผ่านเว็บ www.skypenida.com ใช้บัตรเครดิตออกตั๋วได้เลย แนะนำให้ขึ้นจากท่าเรือ Sanur ตอนเช้า ส่วนท่าเรือบนเกาะก็ขึ้นอยู่กับบริษัทเรือที่เราไป บริษัทที่ทางเราใช้ก็คือ S’Gening Fastboat ขาไป และก็ Idola ขากลับ สรุปแล้วอยู่สองคืนเลยจ้า (ตอนแรกจองที่พักไว้แค่คืนเดียว) ตอนหลังตัดสินใจกันว่า เกาะนี้คืนเดียวไม่พอ เพราะตัวเกาะที่ค่อนข้างใหญ่และเดินทางต้องใช้เวลา สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์จากที่พักได้เลย ตกวันละ 70,000 rupiah ตกแล้วประมาณ 160 บาท ถูกกว่าบ้านเราอีก หลังจากลงเรือเฟอร์รี่แล้ว หารถพาไปส่งที่โรงแรมได้เลย แต่จะแพงหน่อย ทางเราเช่ามอเตอร์ไซค์ที่ท่าเรือเพราะอยากจะประหยัดค่าแท็กซี่ (กระเป๋าไม่ใหญ่กันมาก) ถ้าจะให้แนะนำที่พัก คงต้องเป็น Tentacles เจอใน booking.com ขอบอกว่าประทับใจมาก เป็นโรงแรมที่พึ่งเปิดได้ไม่นาน เจ้าของและพนักงานน่ารักที่สุด ได้มีโอกาสคุย เขาชอบละครไทยจ้า การันตีเขาจะช่วยเหลือทุกอย่าง และไม่บวกเพิ่มด้วยต่างหาก
เอาล่ะ มาถึงสถานที่ must-go กันบ้าง ใครงบเยอะหน่อยก็เช่ารถตู้พร้อมคนขับได้เลย แต่พวกเราเน้นผจญภัยกับ budget และอยากได้ฟิลเลยเช่ามอเตอร์ไซค์ขับกัน เตือนว่าแดดร้อนนะ ทาครีม ใส่หน้ากาก ใส่แขนยาวป้องกันยูวีกันด้วย ที่ๆห้ามพลาดก็คือ Diamond Beach ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะ ส่วนอีกที่ก็คือ Kelingking Beach หรืออีกชื่อเรียกก็คือ T-Rex เพราะรูปร่างเหมือนหัวของทีเร็กซ์ และ Angel's Billabong ตั้งอยู่อีกฝั่งของเกาะ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมต้องมีเวลาอย่างน้อยสองวัน เพราะการเดินทางไปฝั่งเดียวก็ใช้เวลาเกือบวันแล้ว ไหนจะต้องถ่ายรูปกันอีก ชั่วโมงเพื่อจะได้รูปเพอร์เฟคไว้ลงไอจี ขอย้ำว่าวิวทั้งสองที่คืออลังจริงๆ ถ้าได้ไปสองที่นี่ก็ถือว่าคุ้มที่ได้มา Nusa Penida แล้ว ขอเตือนอีกเรื่องก็คือ รองเท้า! เพราะการเดินปีนป่ายขึ้นลงหน้าผาไม่สามารถทำได้ด้วยรองเท้าแตะธรรมดา ใครที่ข้อเข่าไม่ดี กินคอลลาเจนเตรียมตัวไว้เลยก่อนออกทริป เหนื่อยก็พัก ไม่ไหวก็ Say No เพราะรูปจาก view point ข้างบนก็ปังพออยู่  แต่ไหนๆก็มาถึงแล้ว ก็ต้องมีการลงหาดจุ่มน้ำทะเลเพื่อให้สดชื่น มันถึงจะคอมพลีท เกาะ Nusa Penida เหมาะกับคนที่ชอบความสงบ สามารถอยู่ได้เป็นอาทิตย์เลยเพราะที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ และหาดสวยๆซ่อนอยู่มากมาย สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเสียดายก็คือเราไม่ได้เดินลงไปที่หาดด้านล่างของ T-Rex พอไปถึง ใกล้พระอาทิตย์ตกดินพอดี และวันรุ่งขึ้นก็ต้องขึ้นเรือกลับชังกู สงสัยต้องการการเก็บตกครั้งหน้าอีกแน่ และนี่ก็เป็นข้อมูลเบื้องต้นของทริปครั้งนี้ ใครสาย visual ดูรูปด้านล่าง หรือแวะไปดูในไอจีของสามทหารเสือเพื่อนร่วมเดินทางในทริปนี้ได้เลยจ้า 


The Famous T-Rex, Kelingking beach

On the right side of T-rex

Angel's Billabong

In the area of Angel's Billabong 

Banah Cliff Point

Diamond Beach

More of Diamond Beach

We Heart Canggu

The Pool at Kosone Hostel

The offerings given days and nights in the island of Bali




Thursday 28 March 2019

Irkutsk: A Gateway to the famous Lake Baikal

Travel date: 16 March 2019 - 23 March 2019
Location: Irkutsk, Eastern Siberia, Russia


สายเที่ยวแบบผจญภัยคงจะรู้จักเมืองอีร์คุตสค์แห่งนี้ โดยเฉพาะคนที่ชอบความหนาวเหน็บ เมืองอีร์คุตสค์ตั้งอยู่บนแม่น้ำแองการา ไซบีเรียตะวันออก ประเทศรัสเซีย ที่ได้เกริ่นว่าเมืองนี้เหมาะกับคนที่ชอบความหนาวก็เพราะว่า ทุกปีช่วงเวลาประมาณสิ้นเดือนธันวาคม ถึงมีนาคม ทะเลสาบไบคาล (ตั้งอยู่ห่างจากเมืองอีร์คุตสค์ประมาณ 1 ชั่วโมง) จะกลายเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็ง คุณสามารถที่จะขับรถข้ามผ่านทะเลสาบแห่งนี้ได้เลย สำหรับใครที่ไม่รู้จักทะเลสาบไบคาล ประวัติคร่าวๆก็คือ เป็นทะเลสาบที่ลึกและมีปริมาณน้ำจืดเยอะที่สุดบนโลก จินตนาการละกันว่าต้องติดลบกี่องศา พื้นผิวทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งนี้ถึงจะกลายเป็นน้ำแข็งได้

ผู้เขียนได้ทำการศึกษาสถานที่แห่งนี้บนอินเตอร์เน็ต แน่นอนว่าคนไทยส่วนใหญ่คงจะไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาว ถ้าตัดสินใจไปช่วงมกราคมหรือกุมภาพันธ์ คงจะไม่ไหวเพราะหนาวเกินไป ช่วงกลางเดือนมีนาคมจึงน่าจะดีที่สุด และการันตีจากประสบการณ์ตรงเลยว่า จริง! ช่วงกลางถึงปลายเดือนมีนาคม อากาศจะไม่หนาวจนขนาดเดินไม่ได้ บางทีมีหิมะตกสวยงามให้เราได้เห็น บางทีก็ท้องฟ้าใสเป็นสีน้ำเงิน แต่ทะเลสาบไบคาลก็ยังแข็งพอที่จะให้เราได้เดินผจญภัยได้ด้วย

คนไทยส่วนใหญ่ที่ไปทะเลสาบไบคาล เขาจะไปเป็นกลุ่มใหญ่ ซื้อทัวร์ไปเลย มีคนขับรถ ส่งตามที่ต่างๆ แต่เราอยากจะฉีกแนวด้วยการไปคนเดียว หาข้อมูลเอง (จริงๆแล้วคือไม่มีเพื่อนไปด้วย กับอยากจะประหยัดค่าใช้จ่าย อิอิ) เอาเป็นว่า #ไปคนเดียวต่อไม่รอแล้วนะ จากกรุงเทพฯไปอีร์คุตสค์มีสายการบินชื่อ S7 บินตรง คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าเข้ารัสเซีย ทำให้ทุกอย่างง่ายซะเหลือเกิน ค่าตั๋วไม่รวมกระเป๋าโหลดก็แค่ประมาณ 14,000 บาทไปกลับ มีแต่คุ้มกับคุ้ม ไฟท์ถึงดึกหน่อย ทางเราก็ให้โฮสที่ AirBNB มารับที่สนามบิน ไปครั้งแรก คนเดียวเนอะ ก็ต้องระวังหน่อย ก่อนที่จะเล่าเรื่องทริปต่อ ในฐานะที่เราเป็นเพศที่แตกต่างเนอะ พูดง่ายๆคือเราเป็น G (เข้าใจกัน?) ใครเคยได้อ่านข่าวเรื่อง Anti-gay propaganda law ของรัสเซียบ้าง? จริงๆแล้วไม่ได้อันตรายอย่างที่หลายคนคิด ตราบใดที่คุณไม่ออกสาวในที่สาธารณะ ไม่เดินตูดบินหรือจูงมือกัน คุณปลอดภัยแน่นอน เอาเป็นว่า ในระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ไปมา ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ใช้ App แบบเปิด VPN ตามปกติ ถือว่าเล่าให้ฟังเผื่อว่าใครที่เป็นเหมือนกันจะได้ไม่ต้องกังวลนะ

เข้าเรื่องเที่ยวกันดีกว่า เพราะไปคนเดียว การเดินทางก็จะลำบากขึ้นหน่อย สองที่สำคัญๆที่ควรจะต้องไปก็คือ Lake Baikal และ Olkhon Island ที่แรกเดินทางง่าย เพียงแค่ขึ้นรถมินิบัส Marshrutka หรือประมาณรถตู้อนุสาวรีย์บ้านเรา ตามลิงค์เพื่อหาจุดขึ้นรถได้เลย (https://goo.gl/maps/ZWadQtj7yd92) ในราคาประมาณ 130 rubles (70 บาท) ต่อเที่ยว นั่ง 1 ชั่วโมงก็ถึงเมืองที่ชื่อ Listvyanka ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ติดกับทะเลสาบไบคาล ทางผมไปสองวันติดเพราะชอบมาก เดินวนไปเรื่อยๆ บนทะเลสาบเลย ถ่ายรูปเซลฟี่เป็นพัน เดินคนเดียว จะหาช่างกล้องรอบตัวก็ยากมาก สายเที่ยวคนเดียว เอาขาตั้งกล้องไปด้วยก็ดีนะ วันแรกที่ไปโชคดีว่าเป็นวันอาทิตย์ คนออกมาพักผ่อน เล่นสกีกัน แถมยังมีรถลากหมาไซบีเรียนฮัสกี้ให้เช่านั่ง 10 นาทีในราคา 600 บาท เราว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม พักกลางวันก็กินปลา Omul ซึ่งเป็นปลาท้องถิ่นที่จับได้จากทะเลสาบแห่งนี้ ใครมาต้องลองนะ เพราะอร่อยจริง เมนูที่ได้กินก็คือ Grilled Omul with Pine nuts เม็ดต้นสนที่นี่เขาก็มีชื่อเสียง ป่าสนเขามีเป็นล้านๆต้น ซื้อกลับไทยได้เลย เพราะราคาไม่แพง
วิวที่เมืองนี้ก็หลักล้าน มองไปทางไหนก็ขาวไปหมด เหมือนในความฝันเลยทีเดียว พอได้เดินบนทะเลสายที่แข็ง บางจุดก็มีให้เราได้เห็นน้ำใสๆข้างใต้อีกด้วย ยิ่งถ้าวันไหนมีแสงแดด น้ำจะกลายเป็นสีฟ้า สวยจนต้องตะลึงจริงๆ ขอแฮชแท็คอีกรอบ #เที่ยวคนเดียวต่อไม่รอแล้วน่ะ นอกเหนือจากเมือง Listvyanka แล้ว เกาะ Olkhon เขาว่าก็สวยมาก ทางเราไม่ได้ไปเพราะต้องนั่งรถอีก 6 ชั่วโมง คือมองว่าแค่เมืองนี้ก็แฮปปี้แล้ว เลยตัดสินใจไม่ไป แต่ถ้าใครอยากไป เห็นว่ามีรถบัสจากเมือง Irkutsk ลองเช็คผ่านอินเตอร์เน็ตดู

ส่วนในเมืองอีร์คุตสค์ก็มีกิจกรรมและสถานที่ให้ถ่ายรูปสวยๆเยอะ ไม่ต้องกลัวเบื่อเลย ลิสต์สถานที่ตามด้านล่างนี้เลย
Central Market, Babr, 130 Kvartal, Trendy Quarter, Alexander III & Yuriy Gagarin statues, Zoogaleraya, Sobor Bogoyavlensky, Skver Im. Kirova, Kazan Church, Ice-Breaker "Angara" museum

นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวข้างบนแล้ว การเข้าเซาว์น่าหรือ Banya ในขณะที่อากาศข้างนอกหนาวก็ฟินสุดๆ ใครที่ขี้อาย รวบรวมความกล้าเลยถ้าอยากลองประสบการณ์เซาว์น่าสไตล์รัสเซีย คนที่นี่ไม่กลัวการแก้ผ้า ถ้าเขาแก้ เราก็แก้ตามซะเลย Banya ที่นี่จะแตกต่างตรงที่เราจะได้เห็นกำมัดก้านไม้ ผสมผสานระหว่างก้านใบโอ๊คบ้าง ใบสนบ้าง ใบยูคาลิปตัสบ้าง ซึ่งมัดเหล่านี้ คนที่นี่เขาจะนำไปแช่น้ำร้อนก่อนประมาณ 10 นาที แล้วจึงเอาเข้าห้องเซาว์น่าร้อนๆ นำมาตีเบาๆทั่วตัว โดยมีความเชื่อว่าจะช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ปวดเมื่อยก็หายทันที แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย ผู้เขียนได้ลองแล้วก็ติดใจ ทำทุกรอบเลย เซาว์น่าที่นี่แบ่งเพศ ผู้ชายส่วนใหญ่จะมาเป็นกลุ่ม มานั่งคุย นั่งเล่น กินเบียร์กัน เหมือนเป็นการโซเชียลแบบหนึ่งของเขา สถานที่แนะนำมี 2 ที่ Basninskiye Bani และ Баня №10 ที่แรกราคาประมาณ 1,200 rubles ก็ตกประมาณ 600 บาทโดยเขาให้เวลาเราอยู่ 3 ชั่วโมง สามารถสั่งชา อาหารกินเล่นข้างในได้ จ่ายเพิ่มตามราคาบนเมนู ที่นี่จะสะอาดและใหม่ที่สุดและดูไฮโซหน่อย สำหรับที่ๆสอง Баня №10 (เห็นด้วยมั้ยว่าออกเสียงยากมาก) ที่นี่มีความโลคอลขั้นสุด เก่าหน่อย แต่ถ้าอยากได้ประสบการณ์โลคอลที่แท้ทรู ต้องเป็นที่นี่เลย ราคาถูกกว่าด้วย เพียงแค่ 260 rubles หรือประมาณ 130 บาท

ในเมืองอีร์คุตสค์เอง นอกเหนือจากคนผิวขาวแล้ว เราจะได้เห็นคนพื้นเมืองที่เรียกว่า Buryats หน้าตาเหมือนคนมองโกเลีย เพราะเหตุนี้จึงทำให้อาหารที่นี่ก็จะมีอิทธิพลจากชนพื้นเมืองด้วยเช่นกัน อีกเมนูที่ต้องลองนั่นก็คือ Buuzy หรือ Pozi ติ่มซำก้อนใหญ่ หากินได้ตามร้าน Buryat ร้านชื่อดังที่ต้องลองคือ Nomad Restaurant และ Cafe Amritta ส่วนใครที่อยากจะประหยัดเงินหน่อย ที่นี่เขามีโรงอาหารที่เปิดตามจุดต่างๆรอบเมือง ใน Google Maps ให้เซิร์ชคำว่า столовая (อ่านออกเสียงว่า Stallova) อาหารที่นี่ถูกเหลือเชื่อ มีทั้งอาหารคาว น้ำซุป เค้กอร่อยๆ ให้ได้เลือก (เค้กที่นี่ขอแนะนำให้ลอง Medovik - Russian Honey Cake อร่อยลืม!) สั่ง 2-3 อย่างราคาตกอยู่ 100 กว่าบาทเอง ถูกจริงๆ

สำหรับการเดินทางในเมืองสามารถเดินได้หมด อาจจะต้องแข็งแรงหน่อย เตรียมรองเท้าคู่เก่งไว้เลย พื้นนิ่มๆ วัสดุแข็งแรงกันน้ำ กันหิมะ ถ้าไม่ไหวก็ให้ขึ้นรถบัสโดยใช้ความช่วยเหลือจาก Google maps กดหาสถานที่ๆอยากได้ แล้วทางแอ็ปจะบอกเบอร์รถและราคา อีกวิธีหนึ่งก็คือรถแท็กซี่โดยใช้แอ็ปชื่อ Gett 
ในส่วนของซิมการ์ด เพื่อความสะดวกสบาย ซื้อ Sim2Fly ของ AIS ก่อนเดินทางไว้ ในราคา 799 บาท 5GB ขอย้ำว่าลงทุนซื้อซิม ชีวิตจะสบายขึ้นเยอะ โดยเฉพาะการ Navigate ไปตามที่ต่างๆ 

ข้อมูลสำคัญๆ คิดว่าน่าจะครบแล้ว ใครอยาก DM มาถามข้อมูล เชิญได้เลยนะครับ
ต่อไปให้ดูรูปสวยๆที่ผู้เขียนถ่ายมาบ้างดีกว่า
On Baikal Lake, near Listvyanka 

A glimpse into what's underneath the lake 

A Fishing Hole, A Swimming Hole - I think it was made for fun

Siberian Huskies Riding on a frozen lake

Ice prick, a result of the weather being so cold at Taltsy Museum

A View point over looking the Lake

Piles of ice sheets


An abandon boat on the shore of Taltsy museum

Taltsy museum center 

The Ice-breaker Angara, one of the oldest ice-breakers in the world

Monday 24 December 2018

Da Lat: City of Eternal Spring

Travel date: 16 December 2018 - 22 December 2018
Location: Đà Lạt (Nicknames: City of a Thousand Flowers, City of a Thousand Palms, City in the Fog, Little Paris) ,Vietnam



ก่อนที่ผู้เขียนจะเล่าเรื่องทริปเมืองดาลัด ประเทศเวียดนามครั้งนี้ คงต้องเอ่ยถึงเหตุผลหลักว่าทำไมถึงตัดสินใจเดินทางมาเมืองนี้ เหตุผลนั้นก็คือเมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคมปีค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ (เมืองที่ผู้เขียนอยู่นั้น) ได้มีอากาศที่ร้อนอบอ้าวถึงที่สุด ร้อนขนาดที่ทำให้รู้สึกว่าหน้าหนาวในกรุงเทพฯคงไม่มีให้รู้สึกอีกแล้ว สาเหตุว่าทำไมถึงอากาศร้อนก็คงจะไม่พ้น Climate changes รวมถึงความร้อนจากตึกใหญ่ ห้างสรรพสินค้า และบ้านเรือนที่อยู่อาศัย รถยนต์ รถประจำทางที่ปั้มความร้อนออกมาให้กับอากาศข้างนอก และตัวเมืองเองก็ไม่มีพื้นที่สีเขียวที่จะช่วยดูดซับมลพิษและความร้อนที่เพียงพอ ถึงแม้ว่ากรุงเทพฯจะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรก็ตาม แต่ถ้าใครเคยได้คุยกับผู้ใหญ่เช่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายเรา เขาจะเล่าว่าสมัยก่อนกรุงเทพฯไม่ร้อนขนาดนี้ ถ้ายิ่งเป็นช่วงหน้าหนาว บางทีก็จะมีลมเย็นๆพัดให้รู้สึกบ้าง แต่หลายๆปีที่ผ่านมา ลมหนาวนั้นก็ค่อยๆเริ่มหายไป เอาเป็นว่าผู้เขียนคงต้องหยุดบ่นแล้วหล่ะ ไม่งั้นบทความนี้คงไม่จบแน่นอน :)

เมืองดาลัดเป็นเมืองที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่าฮานอย หรือโฮจิมินท์ แต่ถ้าให้เปรียบเทียบอากาศและความสวยงามแล้ว ดาลัดไม่แพ้เมืองอื่นๆเลยทีเดียว ถ้าใครพอรู้จักประวัติความเป็นมาของเวียดนาม ก็จะรู้ว่า ช่วงล่าอาณานิคม เวียดนามเคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศส จากที่ผู้เขียนได้ศึกษามา เมืองนี้เกิดขึ้นได้เพราะตอนที่ฝรั่งเศสดูแลเวียดนามอยู่ เขาได้มองหาสถานที่ทำรีสอร์ทและพื้นที่ๆหลบหลีกความร้อนอบอ้าว และจึงได้มาเจอเมืองแห่งนี้ ดาลัดตั้งอยู่บนภูเขาสูงจึงทำให้อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เหมาะกับการปลูกผักและดอกไม้เมืองหนาว ช่วงเวลาที่ผู้เขียนได้ไปนั้นเป็นช่วงที่ดอกไฮเดรนเจียกำลังบานสะพรั่งทั่วทุกมุมเมือง จะมองไปทางไหนที่มีสวนก็จะเห็นดอกไฮเดรนเจียหลากสีสันสวยงามรอให้คุณได้ไปถ่ายรูปด้วย นอกเหนือจากไฮเดรนเจียแล้วก็ยังจะมีดอกกุหลาบ ดอก Lily of the nile ดอกลาเวนเดอร์ และอีกหลายๆดอกที่ทางผู้เขียนไม่ทราบชื่อ :) นอกเหนือจากดอกไม้แล้ว อาหารที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ก็คือ หอยโข่งนึ่ง แหนมเนือง โยเกิร์ต น้ำเต้าหู้ ชา Artichoke ชาเขียว เป็นต้น ใครที่เป็นสายชอบถ่ายรูปกับดอกไม้ ชอบทานอาหาร และแวะร้านกาแฟ เมืองนี้เพอร์เฟ็คกับคุณแน่นอน

หลายคนคงมีคำถามเรื่องการเดินทาง ผู้เขียนเดินทางด้วยสายการบิน Vietjet บินตรงจากสุวรรณภูมิ ในรคาไปกลับเพียงแค่ 3,600 บาท (ไม่รวมกระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง) ส่วนเรื่องที่พักเราก็ได้ตัดสินใจนอนโฮสเตล ตกแล้ว 1,000 กว่าบาทต่อคน ทั้งหมด 5 คืน โฮสเทลที่ขอแนะนำเพราะความสะอาด วิวหลักล้าน และมิตรภาพที่ได้กับพนักงานแสนน่ารัก โฮสเทลที่ว่าชื่อ Tigon Dalat Hostel อาจจะห่างจากตัวเมือง Center สักหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลไป เวียดนามเขามี Grab และ Grab Bike, Grab Taxi มีหมด แถมยังราคาถูกกว่าบ้านเราอีก เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ผู้เขียนเองตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซค์ขับจากที่โฮสเทล ตกวันละประมาณ 170 บาท ถูกเข้าไปอีก! เอาเป็นว่ารวมๆแล้ว ทริปนี้ไปกับ 2 คนเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดแค่คนละประมาณ 12,000 บาท กินดี อยู่ดี ได้ช้อปอีกด้วย 

มาถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวกันบ้าง ผู้เขียนทำเป็น Bullet Points ให้เลยละกันนะ
- Prenn Waterfall
https://goo.gl/maps/Z2nGPx2QgiT2
อยู่ทางใต้ของดาลัด สำหรับใครที่อยากลองขี่นกกระจอกเทศ ขี่ช้างหรือขี่ม้า ที่นี่มีให้ลองหมด ค่าเข้าก็ประมาณ 60-70 บาทต่อคน สำหรับตัวน้ำตกเอง ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่แย่นะ
- Truc Lam Pagoda
https://goo.gl/maps/MQDMsqudpF92
อยู่ทางใต้เหมือนกัน สำหรับที่นี่ ผู้เขียนไม่ได้ไป เพราะคนเยอะมาก เลยนั่ง Cable Car ชมวิวเฉยๆแบบไปกลับ ราคาประมาณ 120 บาทเอง แนะนำว่าต้องนั่งเพราะจะได้เห็นวิวดาลัด ภูเขาและป่าสนที่สวยงาม
- Lavenderdalat Gardens
https://goo.gl/maps/vEn8TzPMZUD2
สายดอกลาเวนเดอร์ต้องไม่พลาดที่นี่นะ ไม่ใหญ่มาก แต่วิวอลังการมาก พอได้เดินเข้าไป จะได้กลิ่นลาเวนเดอร์ฟุ้งเลย มีร้านกาแฟให้นั่งพักชิวอีกด้วย *ระหว่างทางไปจะมีเขื่อนเก็บน้ำ Tuyen Lam วิวพระอาทิตย์ตกสวยงามมาก สะพานที่เด็ก locals เขาชอบไปนั่งเล่นถ่ายรูปกัน 
- Tung Ha Lavender Farm
https://goo.gl/maps/JwfVdvSaYEA2
ใครที่ชอบฟาร์มออกานิค คนไม่พลุกพล่าน ต้องมาที่นี่ แปลงปลูกดอกไม้และผักสวนครัวขนาดเล็ก แต่เปี่ยมล้นไปด้วยมิตรภาพของเจ้าของ ผู้เขียนแวะไปถึงสองครั้งเพราะว่าชอบบรรยากาศ สามารถซื้อ essential oils ที่เขาผลิตเองได้อีกด้วย มี Lavender, Peppermint, Rosemary ทุกอย่างปราศจากสารพิษหมด
- Cuong Hoan Silk
https://goo.gl/maps/qvLB9Y7Hyg42
ที่นี่จะเดินทางไกลหน่อย อากาศจะค่อนข้างร้อนเพราะอยู่ด้านล่างภูเขา แต่ถ้าใครสนใจวิธีการทำผ้าไหม โรงงานขนาดเล็กๆนี้จะช่วยให้เรามีความรู้มากขึ้น ถ้าใครพาแม่ๆไป แม่คงต้องชอบ
- Datanla Waterfall
https://goo.gl/maps/d8TxL2K9Wwx
สำหรับที่นี่ ผู้เขียนไม่ได้เข้าไป เพราะคนเยอะมาก ใครที่แวะไปก็สามารถไปเล่นรถรางได้ด้วย ลอง search หาข้อมูลกันดู

นอกเหนือจากที่เที่ยวแล้ว มาที่ร้านอาหาร ร้านกาแฟกันบ้าง
- Quan Oc 33
https://goo.gl/maps/txYSd3Pa17H2
ที่แรกเลยที่ผู้เขียนลงเครื่องแล้วตรงดิ่งเข้าไปกิน สายหอยต้องไป! หอยโข่งนึ่งกับหมูสับที่นี่อร่อยมาก เขามี 2 สาขา แต่ทางเราเลือกสาขาคนน้อย อีกสาขาอยู่ถนนเส้นเดียวกัน เดาว่ารสชาติไม่น่าจะแตกต่างกันมาก
- Hu Tieu Trang
https://goo.gl/maps/9eKtoEecXNp
ร้านนี้แนะนำโดย Tigon Hostel Staff ที่ชื่อแฮนนา เธอบอกว่าร้านไหนคนเยอะ เข้าไปได้เลย ขายก๋วยเตี๋ยวสไตล์เฝ๋อ เส้นเล็ก เส้นหมี่ ใส่หมูยอบ้าง ใส่กระดูกหมูบ้าง ผู้เขียนทานทุกเช้า ราคาไม่ถึง 40 บาทต่อชาม สงสัยเพราะอยู่ใกล้กับโรงเรียน ราคาเลยไม่แพงมาก ไม่มี Tourist อื่นๆเลย
- Cha Ram Bap Tan Long
https://goo.gl/maps/Ene4FCBtWnT2
ร้านแหนมเนืองแบบ Local ขั้นสุด อร่อยสุดในเมือง ในราคาย่อมเยา เปิดบริการตั้งแต่บ่าย 2 เป็นต้นไป แนะนำโดย Hostel Staff การันตีความอร่อยโดยผู้เขียน
- Emai Dalat Restaurant / Cafe and Homestay
https://goo.gl/maps/aaN4SBjxsks
ร้านนี้เหมาะกับดินเนอร์ ใครหลายคนคงงงว่าแนะนำทำไม ร้านอาหารอิตาเลี่ยน แต่จากประสบการณ์แล้ว อิตาเลี่ยนร้านนี้สู้กับรสชาติที่อิตาลีได้แน่นอน เส้น Fettuccine และ Gnocchi ที่ทำเอง การประดับตกแต่งร้านที่พิถีพิถัน ราคาอาจจะแพงหน่อย แต่รับรองคุณภาพ ถามหาคนชื่อ Kim ได้เลย ลูกชายเจ้าของร้านที่จะช่วยแนะนำอาหารได้เป็นอย่างดี Chocolate Mousse ที่นี่ห้ามพลาด!
- Kem Bo Thanh Thao
https://goo.gl/maps/qp2EB1YSqK32
ถ้าได้เห็นร้านแล้วจะตกใจ เพราะคนต่อคิวเยอะมาก ร้านขนมหวานแนวไอศรีมผสมอโวคาโด้ ใครมาดาลัดต้องมาทาน เพราะรสชาติอร่อยจริงๆ ผู้เขียนทานทุกวัน ล้อมรอบไปด้วยเด็กเวียดนามอีก 4,500 คนที่มาจากเมืองอื่นเพื่อมาต่อคิวทาน
- Still Cafe
https://goo.gl/maps/unq9RV3ymfR2
ร้านกาแฟสไตล์ญี่ปุ่น โยเกิร์ตและเค้กอร่อย เหมาะกับการถ่ายรูปยามบ่าย เตรียมกล้อง แต่งตัวให้พร้อม เพราะคนอื่นๆเขาไม่ยอมแพ้แน่นอน
- Cafe Bich Cau
https://goo.gl/maps/xheudMManey
เหนื่อยแล้วก็ต้องพัก ร้านกาแฟริมทะเลสาบให้วิว Panorama ลมพัดเย็นสบาย นั่งได้ทั้งวัน พร้อมกับสวนดอกไม้ให้ถ่ายรูปเล่น ไวไฟแรง

สำหรับใครที่ไปเที่ยวนาน ตอนกลางคืนไม่รู้จะทำอะไร แวะไปที่โรงหนัง
- Cinestar Da Lat
https://goo.gl/maps/kGoq9irGQtL2
ผู้เขียนดู 3D ราคา 120 บาท กรี๊ดเสียงดังมาก ด้านหลังโรงหนังมี Big C ให้แวะซื้อขนมกรุบกริบก่อนกลับที่พักอีกด้วย แต่รีบหน่อยนะ เพราะที่นี่ทุกอย่างปิดเร็ว 3-4 ทุ่มก็เริ่มปิดกันแล้ว

ตลาด Dalat Centre Market
ใครที่ได้มาดาลัด คงต้องไปสักครั้ง ข้าวของเช่นเสื้อแจ็คเก็ต กางเกง ถุงเท้าราคาถูก แต่ถ้าให้พูดถึงดีไซน์และแฟชั่นคงไม่สวยสักเท่าไหร่ มีชา และของแห้งให้ซื้อเป็นของฝากกลับบ้าน


Tips อื่นๆ (ซิมการ์ด + แลกเงิน)
แลกเงินเวียดนามดอง และ US dollars ไป
ให้ใช้เวียดนามดองก่อน เมื่อหมดแล้วจึงนำ US dollars ไปแลกที่แบงค์ตาม URL maps นี้ได้เลย เรตดีและปลอดภัย
https://goo.gl/maps/KfvXTDKBrwD2

ส่วนเรื่องซิมการ์ด จ่ายแค่ 120,000 ดอง หรือประมาณ 140 บาทใช้ได้ 1 เดือน กี่ GB ไม่รู้ แต่ 1 อาทิตย์ อัพรูป โหลดรูป ดูวิดีโอไม่หมด! คนขายบอก 100GB แต่ยังแอบไม่ค่อยเชื่อ
ซื้อได้ที่ช้อปใกล้ตลาด อันนี้ไม่รู้จุดที่แน่นอน แต่อยู่หัวมุมแถวๆนี้ แต่ถ้าเจอร้านอื่นในราคาเท่ากันก็ซื้อได้เลย ของเครือข่าย MobiPhone
https://goo.gl/maps/7vkznkD9Fs92

ส่วน Taxi ไปกลับสนามบินก็ให้เรียก Grab เอาน่าจะประมาณ 500-600 บาท แพงหน่อยแต่สบายสุด

เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลที่ผู้เขียนเตรียมไว้ให้ หวังว่าจะช่วยให้การเดินทางของผู้อ่านง่ายขึ้น ถ้ามีคำถามอะไรยังไงก็ให้ส่ง Inbox หรือ Comment ได้เลยนะครับ

สำหรับใครที่อยากดูรูปท่องเที่ยวเพิ่มเติม
Instagram: (ถามมาได้เลย ล่าสุดลงรูปมีน้องแมสเสจมาถามข้อมูล 2 คน พร้อมช่วย Wanderlust ด้วยกันครับ)
ipondonline


ปิดท้ายด้วยรูปสถานที่ท่องเที่ยวและบรรยากาศต่างๆของเมืองดาลัดกันนะครับ
หอยโข่งนึ่งหมูสับใส่ตะไคร้ร้าน - Quan Oc 33



กิจกรรมขี่นกกระจอกเทศสุดฮาที่ Prenn Waterfall


Cable car แบบระยะสั้นที่ Prenn Waterfall จากบนสู่ล่าง (สำหรับคนขี้เกียจเดิน)


ทุ่งลาเวนเดอร์ - Lavenderdalat Gardens



วิวขณะอยู่บน Cable Car จากจุดเริ่ม Truc Lam Pagoda


วิวหลักล้าน ราคาหลักร้อยบาท


Sunset ที่ Lake Tuyet Lam ทางกลับ-ไป Lavenderdalat Gardens


ไอศครีมผสมอโวคาโด้ที่ร้านยอดนิยม - Kem Bo Thanh Thao



สวน Hydrangea ที่มีให้เห็นทั่วเมือง


ก๋วยเตี๋ยว (เดาว่าคือเฝ๋อ อาหารเช้าของผู้เขียน) ที่ - Hu Tieu Trang



Tung Ha Farm ฟาร์มลาเวนเดอร์แนวออกานิคขนาดเล็ก


ชายามบ่ายที่ Still Cafe ร้านกาแฟโชว์ Skill โพสของนางแบบและนายแบบต่างๆ


ดอก Marigolds ที่ฟาร์ม Tung Ha 


The Workshop area at Tung Ha Farm


Homemade Green tea at Tung Ha farm



A Lake at Golden Vally (สถานที่ๆไม่ได้ mention ในบทความ)


ทางกลับจาก Golden Valley


Pasta ที่ถูกฟาดเกือบเรียบ (รอถ่ายรูปไม่ไหว จ้วงก่อน) ที่ - Emai Dalat Restaurant / Cafe and Homestay



Sunday 6 May 2018

From Bangkok to Leh, Ladakh


Travel date: 25 December 2017 - 6 January 2018
Location: Leh City in Ladakh, Jammu & Kashmir, India


นักเที่ยวผจญภัยคงเคยได้ยินชื่อเมือง เลห์ ในแคว้นลาดักส์  เมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศอินเดีย ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,500 เมตร ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาหิมาลัยฝั่งตะวันตก ชายแดนด้านขวาและบนติดกับทิเบต ชายแดนด้านซ้ายติดกับประเทศปากีสถาน เลห์ถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ตั้งอยู่สูงที่สุดบนโลกใบนี้ ยอดเขาอินทนนท์บ้านเราสูงเพียงแค่ 2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลเท่านั้น เทียบความสูงแล้วแพ้โดยสิ้นเชิง ทางผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปเมื่อช่วงปีใหม่ค.ศ. 2018 เวลาถึง 12 วัน เป็นครั้งแรก หลายคนคงคิดว่าต้องเดินทางลำบากแน่เลย อันที่จริงแล้วการวางแผนเดินทางนั้นก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ตัวเมืองเลห์เองถึงแม้ว่าจะฟังดูห่างไกล แต่ความเจริญและการพัฒนาก็ไม่ด้อยไม่กว่าเมืองอื่นๆเช่นประเทศเพื่อนบ้านของเรา ความสะดวกสบายในด้านของอาหารและการเดินทางก็ขึ้นอยู่กับฤดูที่คุณตัดสินใจไป ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิติดลบทั้งกลางวันและกลางคืน จินตนาการดูละกันว่านักท่องเที่ยวต้องทรหดขนาดไหนถึงจะสู้ความโหดร้ายของอากาศติดลบได้ ถ้าเป็นช่วงฤดูร้อนจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของเมืองนี้ อุณหภูมิกำลังเย็นสบาย 25 องศาเซลเซียส มีนักท่องเที่ยวจากทั้วทุกมุมโลกมาขี่มอเตอร์ไซค์ลุยชมวิวและภูมิประเทศที่ให้ความแตกต่างจากที่อื่นๆอย่างสิ้นเชิง

เพราะความสูง 3,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เลห์มีภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย บวกกับความหนาวเย็น เพราะไม่มีต้นไม้ จึงไม่มีพื้นที่ป่าช่วยเก็บน้ำในพื้นดินเหมือนบ้านเรา ฝุ่นทรายเป็นสิ่งที่เห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป คนพื้นที่ต้องพึ่งพาอาศัยน้ำที่ไหลมาจากภูเขาหิมาลัยไว้ดื่มและใช้ ผลไม้ที่เป็นชื่อเสียงของเมืองนี้คือลูกพลัมหรือ Apricot ซึ่งคุณสามารถเห็นได้ตามข้างทาง ส่วนอาหารหลักก็จะมีให้เลือกทั้งแบบมังสวิรัตหรือเนื้อแพะ (สำหรับคนไทยคงยังไม่ชินกับเนื้อสัตว์ประเภทนี้)
คนพื้นเมืองเลห์จะมีความแตกต่างกับอินเดียทางตอนล่าง หน้าตาจะมีดูเหมือนผสมระหว่างเอเชียผิวเหลืองกับแขก บางคนดูเหมือนคนญี่ปุ่น บางคนก็หน้าตาเหมือนคนไทย อีกอย่างที่ทำให้วัฒนธรรมและการเป็นอยู่ของคนเมืองนี้ไม่เหมือนอินเดียทางตอนล่าง อาจจะเป็นเพราะศาสนาที่เขานับถือ ประมาณ 60% นับถือศาสนาพุทธทิเบต 40% นับถือศาสนาอิสลาม นักท่องเที่ยวจะเห็น Monastery อยู่ทั่วไป 1 ใน Monastery ที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในลาดักส์ก็คือ Hemis Monastery สถานที่ที่นักเขียนชาวรัสเซียได้อ้างว่าพระเยซูเคยใช้เวลาแรมปีอยู่ที่นี่ (ตรงนี้ก็ต้องใช้วิจารณญาณว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี) เอาเป็นว่า ถ้าคุณได้มีโอกาสมาสถานที่แห่งนี้ คุณจะได้ยินเรื่องราวแปลกๆมากมาย เรื่องราวที่น่าสนใจเหมือนกับดูสารคดีผ่านตาของตัวเองเลย ยกตัวอย่างเช่น แคว้นลาดักส์เป็นที่ๆคนเคยพบเจอ UFO หรือเรื่องราวที่ว่าในช่วงที่ Alexander the Great เคยเดินทางมาแถบนั้น เขาได้มีลูกหลานสืบเชื้อสายต่อกันมา สารคดีบางเรื่องได้กล่าวถึงสายเลือด อารยัน ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีตำนานว่าเป็นเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์
ในอดีตแคว้นลาดักส์เคยมีกษัตริย์เป็นของตัวเอง แต่เมื่อมีการคุกคามจากผู้มีอำนาจจากที่อื่น ทำให้กษัตริย์และราชวงศ์ของเลห์ได้หายสาบสูญไป ปัจจุบันประเทศอินเดียถือสิทธิ์ปกครองแคว้นลาดักส์ แต่ก็ยังมีความขัดแย้งระหว่างประเทศรอบข้างให้เห็นอยู่บ้าง
ทริปเวลา 12 วันในเมืองเลห์และแคว้นลาดักส์ของผู้เขียนนั้น ทำให้เห็นสิ่งที่แปลกใหม่และทำให้เซอร์ไพรส์ไม่ใช่เล่น การที่จะนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเลห์ได้นั้น ต้องต่อเครื่องมีเมืองนิวเดลีก่อน แล้วจึงค่อยบินอีกประมาณชั่วโมงครึ่งจึงถึงเลห์ แต่การันตีความสวยงามของเวลา 1 ชั่งโมงครึ่งนี้จริงๆ คุณจะได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยที่มองไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็ไม่เห็นหมดสักที หน้าหนาวภูเขาจะปกคลุมไปด้วยหิมะ เป็นรูปภาพที่เป็นการสะท้อนของดินแดนที่สูงที่สุดบนโลกของจริง

ประสบการณ์หลังจากลงเครื่องก็ไม่แย่อย่างที่คิด ข้อมูลทางอินเตอร์เน๊ตได้เตือนนักท่องเที่ยวเรื่อง altitude sickness หรืออาการป่วยจากความสูง ซึ่งท้ายสุดแล้วนักเขียนกับผู้ร่วมเดินทางก็ได้ประสบพบเจอกับอาการต่างๆเหล่านั้น วันแรกหลังจากลงเครื่องก็ไม่มีอาการใดๆ แต่พอคืนแรกก็เกิดขึ้นทันที อาการปวดหัว หายใจไม่ออก ศรีษะหนักเหมือนมีหินถ่วงไว้อยู่ เพราะฉะนั้นใครที่ไป ก็แนะนำให้เพิ่มเวลาเดินทางขึ้น 2-3 วันเพื่อไว้พักผ่อนนอนเฉยๆช่วงแรกก่อนทำกิจกรรมทัวร์ต่างๆ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ทานยากันไว้ก่อนเดินทาง สนามบินที่เลห์ถือว่าเล็กมากเทียบกับเมืองอื่นๆที่ผู้เขียนเคยไปมา สายสะพานสำหรับกระเป๋ามีเพียงแค่ 2 สาย หลังจากลงเครื่องคุณจะได้เห็นวิวภูเขาที่อลังการ ทำให้รู้สึกว่าเราตัวเล็กกระจี๊ดริดเลยทีเดียว ต้อนรับด้วยเหล่าทหารตระเวนชายแดนที่มาช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าสนามบินเลห์จะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้า-ออก แต่ที่จริงแล้วสนามบินนี้ถูกควบคุมโดยการทหารอินเดีย นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องลงชื่อใส่ข้อมูลในใบที่ทางตม.เตรียมไว้ให้ หลังจากนั้นก็ขึ้นแท็กซี่ไปโรงแรม ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ประมาณ 10 นาทีก็ถึง
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ และมีชื่อเสียงในเมืองเลห์และแคว้นลาดักส์ก็มีอยู่ไม่ถึง 10 ที่ แต่เส้นทางของแต่ละที่นั้นก็ห่างไกลกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นควรจะวางแผนทางเดินทางก่อน โดยที่คุณสามารถติดต่อทางโรงแรมให้จัดทริปให้คุณได้ สถานที่ท่องเที่ยวที่ทางผู้เขียนได้ไปก็จะมี Leh Palace, Tsemo Maitreya Temple, Tibetan Market, Main Bazaar Market ซึ่งสถานที่ทั้งหมดที่ว่าตั้งอยู่ในเมืองเลห์ไม่ห่างไกลกันมาก แต่สำหรับที่ๆห่างไกล ยกตัวอย่างเช่น Pangong Lake ก็จะใช้เวลาขับรถถึง 5 ชั่วโมง แต่วิวทะเลสาบ Panggong ก็หลักล้านจริงๆ เส้นทางขับรถไปทะเลสาบจะพาคุณผ่าน Chang Tang Nature reserve ถ้าโชคดีคุณก็จะได้เห็นแพะภูเขาท้องถิ่นที่มีชื่อเรียกว่า Ibex หนึ่งในสัตว์หาดูได้ยาก สัตว์อีกชนิดที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเทือกเขาหิมาลัยนั้นก็คือ เสือดาวภูเขา (Snow Leopard) ผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทางก็คาดหวังไว้อย่างสูงว่าจะได้เห็นเจ้าสัตว์ชนิดนี้ แต่อย่างที่ได้เกริ่นไว้ สัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาสูงนั้นหาดูได้ยากจริงๆ ผู้ร่วมพักที่โรงแรมได้เล่าให้ฟังว่าเขาได้เห็นแค่รอยเท้าของเสือดาวภูเขา นั่นก็ถือว่าโชดดีมากแล้ว













ในมุมมองของผู้เขียนนั้น เมืองเลห์ถือว่าเป็นสถานที่ๆมีเสห่น์อย่างแท้จริง อาจจะเป็นเพราะความแตกต่างของอากาศที่ทางเราได้สัมผัส ความอัธยาศัยดีของผู้คนท้องถิ่น และวิวหลักล้านที่มีให้เห็นทั้ง ทะเลทราย ทะเลสาบ ภูเขาหิมะ ถ้าคุณไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงจะหาคำมาอธิบายความรู้สึกได้ยาก เพราะความยิ่งใหญ่ของดินแดนแห่งนี้ ทำให้เราตระหนักว่า มนุษย์เรานั้นเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เมื่อเทียบกับความอลังการยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้
สำหรับใครที่มีความสนใจอยากจะลองเดินทางไปดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต ผู้เขียนก็อยากจะแนะนำให้เตรียมตัวและเตรียมใจกับความลำบากที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็การันตีความประทับใจที่คุณจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน